ย้อนกลับไปยุคสงครามกำลังครุกรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงแจ็กเก็ตหรือเสื้อเชิ้ตทหารที่มีกระเป๋าได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะสมรภูมิในเขตเมืองร้อน ฟังก์ชั่นการใช้งานของมันหลากหลาย อีกทั้งยังมีช่องสำหรับใส่สัมภาระอย่างครบถ้วนที่สุด แพตเทิร์นกระเป๋าเฉียงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกจัดทำขึ้นและถูกผลิตซ้ำขึ้นจนกลายเป็นดั่งรายละเอียดไอคอนิกของเสื้อผ้าของสุภาพบุรุษ ต้องบอกเลยครับว่ายุคแรกของ ‘Jungle Jacket’ มีรายละเอียดที่โดดเด่นเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีอินทรธนูบนบ่า ต่อมาจึงพัฒนาตัดทอนรายละเอียดบางอย่างออกไป รวมถึงการสรรสร้างแจ็กเก็ตแบบนี้ในรูปแบบ Type 2, 3, 4 และ 5 ตามลำดับ ซึ่งมันกลายเป็นแพตเทิร์นที่ยังคงถูกใช้จนถึงปัจจุบันครับ
แรกเริ่มเดิมทีโจทย์ปัญหาของการผลิตเสื้อผ้าทำสงครามคือฟังก์ชั่นการใช้งานเต็มรูปแบบ ไล่ตั้งแต่การเก็บสัมภาระ ความคงทน และความคล่องตัว รวมถึงความเหมาะสมสำหรับสภาพอากาศนั้นๆ ‘Jungle Jacket’ ถูกออกแบบมาเพื่อรบในสมรภูมิฟากเอเชียที่มีอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสงครามเวียดนาม ย้อนกลับไปเกินกว่า 5 ทศวรรษก่อน แจ็กเก็ตประเภทนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นไอเท็มแฟชั่นสำหรับสวมใส่เพื่อความสวยงาม แต่เป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้สำหรับทหารอเมริกันในการออกรบในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยป่าอันท้าทายขีดความทรหดอดทนของเหล่าทหารเสียเหลือเกินครับ
แจ็กเก็ตทหารเริ่มเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการสร้างแพตเทิร์นแฟชั่นรูปแบบใหม่หลังสงคราม ซึ่ง ‘Jungle Jacket’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ เป็นประจำทุกยุคหลังสงครามจบลง เสื้อผ้าเหล่านี้จะถูกสวมใส่ต่อโดยทหาร มีการมิกซ์แอนด์แมตช์เพื่อให้มันใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังส่งต่ออิทธิพลและมนต์เสน่ห์ของเสื้อผ้าฉบับวินเทจที่สุภาพบุรุษหลายคนหลงใหล และด้วยจุดตั้งต้นที่มันถูกพัฒนามาเพื่อการใช้งานสมบุกสมบันเต็มรูปแบบ นั่นหมายถึงเมื่อนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันหรือสวมใส่เพื่อเหตุผลด้านแฟชั่น มันก็ยังตอบโจทย์การใช้งานที่ไม่จำเป็นต้องดูแลรักษามันอย่างละเอียดอ่อน อีกทั้งยังปรับใช้ฟังก์ชั่นของมันได้อย่างครบถ้วนครับ
เมื่อแจ็กเก็ตถูกออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์หนึ่ง แต่กลับถูกนำมาพัฒนาในอีกทิศทางย่อมสร้างบรรทัดฐานแฟชั่นรูปแบบใหม่ แจ็กเก็ตที่มีแพตเทิร์นการตัดเย็บที่เข้ากับสรีระ ประกอบกับซิลูเอตที่เฉียบคมก็เป็นเหตุให้สุภาพบุรุษจำนวนไม่น้อยเลือกสวมใส่มันคู่กับการเลเยอร์ในสไตล์ต่างๆ รวมถึงการหยิบมันมา ‘Dress-Up’ เพื่อสวมใส่กับเสื้อเชิ้ตและเนกไท ยกระดับระดับความทางการของแจ็กเก็ตที่อยู่ในระดับล่างให้ก้าวข้ามความลำลองถึงขีดสุดขึ้นมาอีกขั้น ซึ่งเดิมทีวัสดุที่ใช้ในการทำเสื้อผ้าสงครามอาจตกยุคและไม่เหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวันนัก ดังนั้นการพัฒนาจึงเข้าถึงเรื่องการใช้วัสดุและปรับแต่งโครงสร้างแพตเทิร์นให้น่าสวมใส่ขึ้นอีกด้วยครับ
ยกตัวอย่าง ‘Jungle Jacket’ ของแบรนด์อย่าง Ascot Chang ที่ทำให้กับ The Decorum ของเราโดยเฉพาะ คือตัวอย่างที่ชัดเจนในการพัฒนาแจ็กเก็ตสมบุกสมบันดั้งเดิมให้กลายเป็นแจ็กเก็ตแฟชั่นที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัวครับ วัสดุผ้าลินินถูกนำมาใช้เพื่อสร้างโครงสร้างของเสื้อให้สวยงามมีมิติ อีกทั้งยังมีการผลิตในหลากสีสันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวฉบับคลาสสิก สีกรมท่า เรื่อยไปจนถึงสีโทนสว่าง สะท้อนให้เห็นวิถีของแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงไปและไม่ได้ผูกติดกับความสมบุกสมบันแบบเดิม เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบสู่แจ็กเก็ตสำหรับสภาพอากาศแบบประเทศไทย หรือเมืองเองก็ไม่ใช่สถานที่ประหลาดในการสวมใส่อีกต่อไป นี่คือแจ็กเก็ตที่สวมใส่ได้ทุกโอกาสอย่างแท้จริง ‘From City to Countryside’ คือการนิยามที่ไม่เกินจริงครับ จากเครื่องแบบทำสงครามที่เคยฝ่าฟันสภาพภูมิประเทศหฤโหด วันนี้มันเปลี่ยนสภาพเป็นไอเท็มแฟชั่นสุดคลาสสิกที่สุภาพบุรุษสามารถปรับแต่งการใช้งานได้ตามใจชอบที่สุดอย่างหนึ่ง ใครยังไม่มีไว้ครอบครองควรมีติดตู้ไว้สักตัว แล้วจะพบว่า ‘Jungle Jacket’ คือการเปิดมิติด้านความหลากหลายของลุค ระดับความทางการ และการสไตลิ่งอย่างแท้จริง
หากใครสนใจเกี่ยวกับแฟชั่นของสุภาพบุรุษฉบับคลาสสิกแบบนี้ สามารถติดต่อสอบถามกับเราได้ผ่านทุกช่องทางครับ อย่าลืมติดตามความรู้ที่น่าสนใจจากหัวใจเหล่าสุภาพบุรุษกับ The Decorum Tribune เพิ่มเติมได้ในตอนหน้า แล้วพบกันครับ
