Bandana หรือผ้าสำหรับใช้ผูกสีสันจัดจ้านที่ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาสไตลิ่งกับลุคหลากหลายรูปแบบ แท้จริงแล้วสิ่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมานานหลายศตวรรษ ตลอดระยะหลายร้อยปีที่การเดินทางของแอ็กเซสเซอรี่ชิ้นนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมานักต่อนัก เริ่มตั้งแต่แถบเอเชีย ยุโรป และอเมริกา วันนี้ The Decorum จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับของชิ้นนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น พร้อมกับนำเสนอวิธีการสวมใส่ให้ลุค Bandana ออกมาดูน่าสนใจยิ่งขึ้นครับ
Bandana Origins
แท้จริงแล้วคำว่า Bandana มีที่มาจากคำว่า bāṅdhnū หรือ bandhani ในภาษาอินเดียซึ่งแปลว่า “ผูก” ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์แฟชั่นเราจะเห็นอย่างชัดเจนครับว่าสมัยก่อนคนยุโรปมักมีรายละเอียดการผูกศีรษะด้วยผ้าสีพื้นเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในหมวดแฟชั่นผู้หญิง ตอนนั้นผ้าผูกต่างๆ ยังถูกเรียกว่า “Kerchief” จนกระทั่งช่วงศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษและชาวดัตช์เดินทางไปยังประเทศอินดีย พวกเขาได้เห็นการรังสรรค์ไอเท็มชิ้นสำคัญชิ้นนี้ขึ้น (คาดว่าอินเดียทำมานานแล้วแต่ไม่มีหลักฐานระบุว่าเริ่มต้นเมื่อใด) โดยมีความแตกต่างเรื่องรายละเอียด สีสัน และความประณีตครับ พวกเขาได้ทราบว่ามันถูกเรียกว่า bandhani ตามศัพท์อินเดีย หลังจากถูกส่งมาที่เกาะอังกฤษชื่ออินเดียดังกล่าวก็เพี้ยนต่อมาเรื่อยๆ สู่คำว่า Bandana อย่างที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีครับ
ในช่วงเวลาเดียวกันเหมือนประวัติศาสตร์ของฝั่งอเมริกาเกี่ยวกับ Bandana ก็เห็นเด่นชัดขึ้นเช่นกันครับ ถึงแม้จะไม่ทราบที่มาชัดเจนแต่ก็คาดว่ามาจากดินแดนยุโรปที่เริ่มนิยมไอเท็มชิ้นนี้และนำเข้ามาเผยแพร่ ก่อนจะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปฏิวัติอเมริกา มันกลายเป็นของขวัญของเหล่าคนสำคัญ สัญลักษณ์ทางการเมือง เครื่องประดับตกแต่ง และใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ฝั่งอเมริกาจึงมี Bandana ในรูปแบบเฉพาะตัวเช่นกัน และต่อมาความนิยมของคนทั่วไปก็ทำให้ผ้าผูกประเภทนี้ปรากฏอยู่ในสารบบแฟชั่นในโลกฝั่งตะวันตกมาเสมอครับ
Development of Bandana
เริ่มแรกแน่นอนว่าเราเข้าใจอย่างที่กล่าวไปว่าสิ่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากการโพกผ้าของอินเดีย ทว่ามันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนของใช้ประจำวัน ตอนอังกฤษนำเข้าใหม่ๆ สิ่งนี้ราคาแพงอย่างมาก เพราะด้วยคุณภาพและการขนส่งข้ามนำข้ามทะเลมาด้วยความยากลำบาก เหล่าช่างฝีมืออังกฤษและสกอตจึงเริ่มผลิตผืนผ้าแบบนี้ด้วยตัวเองครับ และลายเพสลีย์ที่ทุกคนคุ้นตาบน Bandana เป็นอย่างดีไม่ได้มีต้นกำเนิดจากเมืองเพสลีย์ ประเทศสกอตแลนด์แต่อย่างใดนะครับ แต่มาจากลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์จากแคว้นแคชเมียร์นั่นเอง และลวดลายดังกล่าวก็พัฒนาจากพื้นฐานของลายจากวัฒนธรรมเปอร์เซีย (แคชเมียร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเปอร์เซีย) สู่ลวดลายที่ดัดแปลงจนกลายเป็นลายเพสลีย์ที่เราเห็นในปัจจุบันและโด่งดังไปทั่วโลก
จากผืนพ้าเครื่องประดับสู่สัญลักษณ์ของการโฆษณา Bandana ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการริเริ่มความสร้างสรรค์ที่พิมพ์ลงไปบนผืนผ้าครับ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน สินค้า หรือแม้แต่การหาเสียงทางการเมือง จะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ที่มีผลผลิตตกทอดมาถึงปัจจุบันก็ไม่ผิดนักล่ะครับ นอกจากนี้ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความขบถต่อสังคมยุคนั้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสังคม LGBTQ+ เรื่อยไปจนถึงสัญลักษณ์สมาชิกของแก๊งค์ต่างๆ เรียกว่าผ้าผูกศีรษะที่ดูไม่มีอะไรซับซ้อนนักกลับกลายเป็นแฟชั่นไอเท็มชิ้นประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกอย่างแท้จริงครับ
RED!
ถ้าพูดถึง Bandana ก็ต้องนึกถึงสีแดงเป็นอย่างแรก เพราะต้นตำรับ Bandana จากวัฒนธรรมตะวันตก คือช่วงที่เริ่มผลิตกันเองในแผ่นดินยุโรปมีกลุ่มคนชาวฝรั่งเศสพัฒนาการทำสีแดง “Turkey Red” ด้วยการสกัดสีธรรมชาติ และสีนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากนั้นก็เริ่มขยายฐานความต้องการจนกระทั่งเป็นสียอดนิยมจวบจนปัจจุบันครับ
เมื่อสีแดงได้รับความนิยมสุดขีดเราขอกระโดดข้ามมาจนถึงประมาณยุค 1970s กันเลยครับที่ Bandana ลวดลายเพสลีย์แตกโทนสีออกไปอย่างหลากหลายจากอิทธิพลความอิสระเสรีของกลุ่มคนยุคฮิปปี้ มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ต้องการบ่งบอกสถานะตัวเองโดยเฉพาะเรื่องเพศ เป็นเหมือนเครื่องบ่งบอกเพศว่าเขามีรสนิยมแบบใด และต่อมาในยุค 1980s Bandana สีแดงและน้ำเงินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของแก๊งค์ Bloods และ Crips ซึ่งถือเป็นแก๊งค์คู่อริโหดชื่อก้องโลก
Bandana in Fashion Part
เราก้าวข้ามเรื่องประวัติศาสตร์มาถึงโลกแฟชั่นของ Bandana กันบ้างครับ ส่วนนี้ก็ยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาความหมายในการผูกผ้าประเภทนี้อยู่บ้างเหมือนกันครับ ย้อนกลับไปช่วงยุค 1920s Bandana ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นแอ็กเซสเซอรี่สำคัญของเหล่าคนงาน ซึ่งเป็นต้นแบบของแฟชั่นสไตล์ Workwear การสวมเอี๊ยม การเกงผ้าเดนิม หรือชุดคนงานต่างๆ มักจะมี Bandana ผูกด้วยเสมอ แสดงถึงการรวมพลังเป็นกลุ่มแรงงานในยุคนั้นได้เป็นอย่างดีครับ
ต่อมายุคฮิปปี้กับช่วง 1960-1970s ช่วงนี้ Bandana เป็นไอเท็มชิ้นสำคัญที่ใช้ทั้งผูกบริเวณคือหรือโพกศีรษะได้หลากหลายรูปแบบ แฟชั่นยุคนี้แสดงให้เห็นความขบถที่ Bandana เป็นสัญลักษณ์มาอยู่ตลอดได้เสมอเลยล่ะครับ และช่วงนี้เป็นช่วงนี้สุภาพบุรุษผู้นิยมการสวมสูทเริ่มหยับจับเอาผ้าผืนแบบนี้มาสไตลิ่งในลักษณะลำลองมากยิ่งขึ้น เราจะได้เห็นกางเกงขาบานสไตลิ่งคู่กับแจ๊กเก็ตซิลูเอตแปลกใหม่ และมาพร้อมแอ็กเซสเซอรี่นอกเหนือจากเนกไท ซึ่ง Bandana ก็เป็นหนึ่งในไอเท็มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ผ้าที่นิยมผูกบริเวณคอแบบนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ Ascot Tie หรือ Cravat นะครับอย่าเพิ่งสับสนไปเสียก่อน ในส่วนของ Ascot Tie จะมีการออกแบบมาเฉพาะสำหรับการผูกคออย่างเดียวเท่านั้น มีผ้าที่หนากว่าและรายละเอียดที่ค่อนไปทางเนกไทมากกว่าครับ ส่วน Bandana มีรายละเอียดคล้ายกับผ้าเช็ดหน้าหากจะเปรียบแบบง่ายๆ แต่มีขนาดใหญ่กว่าครับ ดังนั้น Bandana จึงสามารถนำมาสไตลิ่งได้หลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเป็นการสวมชุดแบบลำลองคู่กับเสื้อยืด ชุดสูทสำหรับฤดูร้อน หรือแม้แต่การโพกศีรษะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหาได้จาก Ascot Tie ที่ออกแบบมาเพื่อลุคสูทที่มีความเนี้ยบประณีตสูงนั่นเองครับ
Styling
สไตล์เด่นที่เราอยากนำเสนอให้สุภาพบุรุษทุกท่านลองสนุกกับ Bandana คือลุคแบบ “Smart Casual” ครับ หากหยิบชุดสูทหรือแจ๊กเก็ตคู่กับกางเกงขายาวตัวโปรดมาแล้วอาจจะรู้สึกเรียบง่ายธรรมดาจนเกินไป การใช้ Bandana ผูกบริเวณคอจะทำให้ลุคมีมิติมากขึ้น ข้อสำคัญคือควรจะเลือกสีที่เป็นคู่สีที่ขับความโดดเด่นออกมาให้กันและกัน เช่นคู่สีตรงข้าม เมื่อเริ่มสนุกกับลุคสีเรียบก็สามารถลองสไตลิ่งแบบลายชนลายดูก็ไม่เสียหายครับ Bandana ถือเป็นไอเท็มที่เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ทดลองความสนุกอย่างเต็มที่
“Casual” สำหรับลุคลำลองยิ่งมีกรอบกำหนดน้อยกว่าเดิมมากครับ ไม่ว่าท่านสุภาพบุรุษจะสวมเสื้อยืดสีขาว เสื้อเชิ้ตแขนสั้น หรือแม้แต่เสื้อโปโล ก็สามารถหยิบ Bandana มาผูกเพื่อเพิ่มสีสันได้เช่นกันครับ นอกจากนี้ถ้าอยากเพิ่มเลเยอร์ก็สามารถนำแจ๊กเก็ตลำลอง อย่างเช่น แจ๊กเก็ตผ้าเดนิม หรือบลูซงมาสไตลิ่งคู่กับ Bandana พร้อมกางเกงทรงลำลองและรองเท้าผ้าใบก็จะได้ลุคใหม่ที่รีเฟรชสไตล์ของท่านสุภาพบุรุษสดใหม่กว่าที่เคยครับ
สุดท้ายท่านสุภาพบุรุษหลายคนอาจนึกถึง Bandana ในสไตล์ “Modern Streetwear” ซึ่งปัจจุบันศิลปินและเซเลบริตี้ทั่วโลกมักนำ Bandana มาสไตล์เข้ากับสตรีตแวร์ร่วมสมัย บ้างก็นำมาผูกผม บ้างก็ผูกคอเพื่อเติมเต็มลุคให้สนุกสุดเหวี่ยงมากขึ้น ลุคสุดท้ายคือกลิ่นอายแบบ “Western” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นลุคสไตล์คาวบอยที่หลายคนคุ้นตากันเป็นอย่างดีครับ Bandana ถือเป็นไอเท็มชิ้นสำคัญที่จะทำให้ลุคสไตล์นี้สมบูรณ์แบบที่สุดครับ
ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ Bandana มีบทบาทกับโลกแฟชั่นอยู่เสมอ การสไตลิ่งที่เน้นเรื่องความสวยงามผูกโยงเข้ากับที่มาทางวัฒนธรรมจากหลายพื้นที่ทั่วโลก การหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาผูกเพื่อสร้างสรรค์ลุคให้แตกต่างไม่เหมือนใครถือเป็นเรื่องน่าสนุกที่สุภาพบุรุษทุกท่านควรลองสักครั้ง หรือถ้าหากยังไม่มั่นใจและต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับ Bandana เพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามกับเราได้ผ่านทุกช่องทางครับ และอย่าติดตามความรู้ที่น่าสนใจจากหัวใจเหล่าสุภาพบุรุษกับ The Decorum Tribune เพิ่มเติมได้ในตอนหน้า แล้วพบกันครับ